วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2552

ขั้นตอนการทำ Web Blog

Blogมาจากคำว่า WeBlogบางคนอ่านคำๆนี้ว่า We Blogบางคนอ่านว่า Web Logแต่ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน คือบล็อก (Blog)
ความหมายของ Blogคือการบันทึกบทความของตนเอง(Personal Journal)ลงบนเว็บไซต์โดยเนื้อหาของ blogนั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อกจะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะเช่นกลุ่มเพื่อนๆหรือครอบครัวตนเองมีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้นเพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประเภทตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นไดอารี่ หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือเนื้อหาบล็อกประเภท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยใช้สามารถแตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่าง ๆ มากมาย ตามแต่ความถนัดของเจ้าของบล็อก ซึ่งมักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด หรือสนใจ
จุดเด่นของ Blogคือสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนของบล็อกนั้นๆผ่านระบบcommentของบล็อกในอดีตเริ่มคนที่เขียน Blogนั้นยังทำกันในระบบ Manualคือเขียนเว็บเองทีละหน้า ในปัจจุบันมีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียน Blogได้มาก เช่น WordPress, Movable Typeเป็นต้น ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลกหันมาเขียน Blogกันอย่างแพร่หลายตั้งแต่นักเรียน อาจารย์ นักเขียนตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้นNasDaqสองสามปีที่ผ่านมา Blogเริ่มต้นมาจากการเขียนเป็นงานอดิเรก ของกลุ่มสื่ออิสระต่าง ๆ หลายๆแห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำจวบจนกระทั่งปี 2004คนเขียน Blogได้รับการยอมรับจากสื่อสำนักข่าวถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูล ตั้งแต่การเมืองไปจนกระทั่งเรื่องราวการประชุมระดับชาติและจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่า Blogเป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ,สิ่งพิมพ์ ,โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งวิทยุสามารถเรียกได้ว่า Blog ได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ ที่สำคัญอย่างแท้จริง
วิธีการสร้างบล็อก(สมุดบันทึก)ใหม่
ต้องเตรียมเรื่องที่ต้องการบันทึกไว้ก่อนแล้วให้เข้าใช้ระบบ http://gotoknow.orgจากนั้น ทำตามขั้นตอนดังนี้
1.คลิก--แผงควบคุม
2.คลิก--สร้างบล็อกใหม่
3.ใส่ที่อยู่ link เป็นภาษาอังกฤษปนเลข9ตัวติดกันไม่เคาะ
4.ใส่ชื่อบล็อกที่ต้องการ เช่น ธุรการก้าวหน้า
5.รายละเอียด:ใส่ข้อความที่เกี่ยวกับบล็อกของเราสัก 1-2ประโยค
6.ป้าย:ใส่คำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับบล็อกนี้
7.คลิก--สร้าง
8.คลิก--แผงควบคุมจะพบบล็อกที่สร้างใหม่ ซึ่งรหัสผู้ใช้ชุดนี้สามารถสร้าง blogได้ไม่จำกัดจำนวนการที่จะมี blogได้นั้นควรจะรู้จักก่อนว่าการทำblog มีผู้ให้บริการให้สามารถสร้าง blogได้หลายรูปแบบ
1.ผู้ให้บริการ Blog(Blog Provider)หากไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการทำเว็บหรือไม่รู้จักblogมาก่อนก็สามารถมี blogเป็นของตัวเองได้ง่ายโดยผู้ให้บริการ blogจะมีการเตรียมระบบรองรับให้เรียบร้อยแล้วโดยสิ่งที่ผู้ให้บริการ blogเตรียมให้คือ
-ชื่อโดเมนที่ใช้เป็นที่อยู่ของ blogเราโดยส่วนใหญ่จะเป็นชื่อแบบ sub domainคือเป็นชื่อในรูปแบบ myname.blogprovider.com เป็นต้นโดยคำว่าmynameนั้นก็จะแทนที่ด้วยชื่อที่เราเลือกไว้ ส่วนตรงblogprovider.com นั้นก็คือชื่อโดเมนของผู้ให้บริการ blog
-ระบบ blog managementสิ่งต่อมาที่ผู้ให้บริการ blogเตรียมไว้ให้คือโปรแกรมการupdate blogต่าง ๆ ไม่ต้องเขียนโปรแกรมการ update blogด้วยตัวเองแต่ทางผู้ให้บริการจะมีระบบนี้เตรียมไว้ให้เราเลยรวมทั้งพวกเทมเพลทหรือรูปแบบดีไซน์ของ blog ที่เตรียมไว้ให้เราใช้ได้เลยไม่เสียเวลาออกแบบ
-พื้นที่เก็บ Blogจำนวนพื้นที่ที่ผู้ให้บริการเตรียมไว้ให้นั้นมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแต่ละรายเรื่องค่าใช้จ่ายของการ ทำ blogกับผู้ให้บริการ blogนั้นแตกต่างกันไปตามแต่ผู้ให้บริการบางแห่งฟรีบางแห่งเก็บค่าบริการรายเดือนผู้ให้บริการเหล่านี้ก็มีเช่น Blogger.com,LiveJournal.com,TypePad.com หากเป็นของไทย ก็ไปที่ BlogRevoหรือ exteen.comดูได้
2. ใช้ Blog Software ติดตั้งใช้เองการใช้ Blog Softwareมาติดตั้งใช้เองนั้นต้องการความรู้ทางด้านการเขียนโปรแกรม หรือติดตั้งโปรแกรมบ้าง แถมต้องมีพื้นฐานทางด้านการทำเว็บอีกด้วยเพราะเราอาจต้องทำการติดตั้ง หรือปรับแต่งดีไซน์ด้วยตัวเอง โดยข้อดีของการใช้ Bog Softwareมาติดตั้งเองคือ สามารถควบคุมการใช้บล็อกได้เอง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เขียนบล็อก ก็มีได้มากตามที่ต้องการหรือตามขนาดพื้นที่ของweb hostingที่เช่าใช้อยู่หากเราต้องการใช้ Blog Softwareจะต้องมีสิ่งเหล่านี้อยู่ล่วงหน้าแล้ว นั่นคือ
- ชื่อโดเมนเนม อาจจะเป็นชื่อโดเมนที่เราจดทะเบียนโดเมนเนมไว้หรือใช้ sub domainจากเว็บที่มีอยู่แล้วหากยังไม่เคยมีเว็บมาก่อน ก็ต้องจดทะเบียนโดเมนเนมเป็นของตัวเองก่อน
- พื้นที่เว็บโฮสติ้ง ต้องเช่าพื้นที่เว็บโฮสติ้งไว้ให้พร้อม โดยดูให้ตรงกับความต้องการของโปรแกรม blog softwareที่จะใช้ เช่น php, cgi หรือ asp
- โปรแกรม Blog Software โปรแกรมเหล่านี้มีทั้งแบบเสียสตางค์ซื้อมาเช่น MovableTypeหรือบางโปรแกรมก็ให้ใช้ได้ฟรี เช่น WordPress เป็นต้น
1. ใส่ใจกับรูปแบบดีไซน์ของ blog
สำหรับบล็อกชั้นนำของโลกต่างก็ไม่ได้ใช้ templateแจกฟรีที่มีกันทั่วไปแต่บล็อกชั้นนำเหล่านี้ต่างก็ออกแบบดีไซน์ของบล็อกขึ้นมาเองทั้งหมด ทำให้บล็อกนั้นดูมีความแตกต่าง และมีความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น
2. ใส่ใจกับเนื้อหาของบล็อก
ก่อนที่จะสร้างบล็อกขึ้นมาซักแห่งหนึ่งลองวางแนวทางของเนื้อหาในบล็อกดูก่อนว่าต้องการจะนำเสนอบทความรูปแบบไหนจะมีวิธีนำเสนอไปในทางใดสิ่งเหล่านี้จะทำให้ไม่หลุดประเด็น จากที่คุณตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกเช่นบล็อกของ keng.com ต้องการจะเป็น บล็อกที่นำเสนอข้อมูลด้านการทำบล็อก ดังนั้นผมวางแนวทางไว้ว่า ต้องมีข่าวสารวงการบล็อกทั่วโลก มาให้ผู้อ่านได้อ่านกันและต้องมีเทคนิคการทำบล็อกสำหรับมือใหม่ เช่นบทความเรื่อง “blog คืออะไร?”และมีเทคนิคสำหรับขั้นผู้เชี่ยวชาญเช่นการใส่ Tagหรือการ Ping ไปยัง blog search engine เช่นตัวอย่างบทความ ที่ผมเขียนขึ้นมาเหล่านี้ เป็นแนวทาง ในการกำหนดทิศทางของบล็อก
3. ใส่ใจผู้อ่าน มากกว่าใส่ใจตัวเอง
เนื้อหาของบล็อกเป็นสิ่งที่ผุ้อ่านใส่ใจใคร่รู้ไม่ใช่ป้ายโฆษณาที่วางระเกะระกะในเว็บไซต์แต่อย่างใด ดังนั้นการจัดรูปแบบโฆษณาต้องคำนึงถึงจิตใจผู้อ่านด้วย ว่าถ้าเป็นเราเองไปอ่านบล็อกคนอื่นแล้วมีโฆษณามาเกะกะในตัวบทความ ชอบหรือไม่โดยทั่วไปแล้ว ถ้าบทความเขียนได้ดีผู้อ่านก็จะมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกและอาจมีผู้อ่านมากขึ้นทุกๆวันหลังจากนั้นแล้ว รายได้จากค่าโฆษณาจะตามมาเอง โดยที่เราไม่ต้องไปใส่โฆษณา แทรกลงไปในตัวบทความอีกด้วย
4. ใส่ใจ comment ที่มีเข้ามา
บล็อกสามารถใช้ประโยชน์ของการสื่อสาร ได้ด้วยระบบ commentในตัวเองซึ่งโปรแกรมสร้างบล็อก(ฺBlogware) ส่วนใหญ่ มีระบบ commentติดมาให้ด้วยใช้ระบบนี้ให้เกิดประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน comment การตอบcommentต่าง ๆ บางครั้งอาจได้ประโยชน์จากการดึงประเด็นเด็ด ๆ จาก commentมาใช้เขียนบทความ ดังนั้นทุกๆวันควรจะตรวจสอบว่ามี commentใดเข้ามาบ้าง เพื่อที่จะได้ตอบได้ทันท่วงที เมื่อตอบได้เร็วผู้อ่านมีอารมณ์ร่วมในการสื่อสาร ทั้งสองฝ่ายก็แฮปปี้ครับ และจุดสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าเราตรวจสอบ comment ทุกวัน เราสามารถลบพวก spam comment ออกได้อย่างทันควัน
5. ใส่ใจในมาตรฐานของเว็บไซต์
ไม่มีใครรู้ว่าบล็อกของเราจะมีคนเข้ามาอ่านมากแค่ไหน บางครั้งเราอาจต้องมีการปรับปรุงเว็บไซต์หรือบางครั้งเราอาจต้องมีการปรับแต่งดีไซน์ เพื่อรองรับการขยายตัวอย่างไม่คาดฝันลองมองไปถึง การดีไซน์บล็อกด้วยมาตรฐานของเว็บไซต์ (Web Standard) ซึ่งจะสามารถทำให้บล็อกของคุณ แสดงผลได้ดีในทุก ๆ browser และลองพยายามใช้ css ในทุก ๆ ส่วนที่คุณทำได้ เพราะตัว css นี้มีความยืดหยุ่นสูง ถ้าเราต้องมีการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ต่าง ๆ จะได้ปรับเฉพาะแค่ไฟล์ cssแทนที่จะไปแก้ html ในแต่ละหน้า ลองนึกดูครับว่า ถ้าวันใดที่คุณมีบทความประมาณ 1,000บทความ แต่ต้องมานั่งแก้สีของกรอบรูปภาพ ที่คุณเคยเขียนโค๊ดใส่ border เข้าไปที่โค๊ดของรูปภาพโดยตรง แทนที่จะแก้ไขที่ไฟล์ css แค่บรรทัดเดียว
6. จัดตารางเวลาในการเขียนให้เหมาะสม
ตอนเริ่มเขียนบล็อกอาจใช้เวลาไม่มากในการเขียนบทความแต่เมื่อเขียนมากขึ้นเรื่อยๆจากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปี แน่นอนว่าคงต้องมีการกระทบกับเวลาการทำงานอื่นๆของคุณเช่นกันดังนั้นลองจัดสรรเวลาสำหรับเขียนบล็อก ใช้เวลาในช่วงเช้าก่อนไปทำงาน เขียนบทความสักหนึ่งตอน หรือจะเขียนบทความในช่วงดึก ๆ ก่อนนอนก็ได้ตรงนี้แล้วแต่คนว่าคุณสะดวกแบบไหน หรือมีเวลาว่างในตอนอื่น ๆ ลองปรับให้เหมาะสมกับตัวเอง
7. ใส่ใจเรื่องขนาดของภาพประกอบบทความ
ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่งฉันท์ใดบล็อกย่อมงามเพราะดีไซน์และภาพประกอบลองทำความรู้จักกับรูปแบบของไฟล์ภาพชนิดต่าง ๆ เช่นไฟล์ที่มีนามสกุลเป็น .gif นั้นสามารถแสดงผลได้สูงสุด 256 สี แต่ไฟล์ภาพที่เป็นนามสกุล .jpg นั้นสามารถแสดงผลได้สูงสุด 16 ล้านสี ดังนั้นการเลือกที่จะเซฟภาพเป็นไฟล์นามสกุลอะไรนั้น เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เพราะหากเลือกชนิดไฟล์ผิด ภาพที่ออกมาจะไม่สวยไฟล์อาจมีขนาดใหญ่ผิดปกติจะเป็นสิ่งทกินทรัพยากรของระบบ และบล็อกของคุณมากขึ้นไปอีกเพราะถ้ามีผู้อ่านเยอะ ต้องรอโหลดภาพที่ใหญ่ผิดปกติผู้อ่านอาจจะเลิกรอเลยแนะนำวิธีง่ายๆในการเซฟภาพดังนี้หากเป็นภาพถ่าย แนะนำให้ใช้เป็น jpgส่วนถ้าเป็นไฟล์โลโก้ หรือภาพที่มีจำนวนสีน้อย ๆ ลองดูเป็น gif

1 ความคิดเห็น: