วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2552

ขั้นตอนเมื่อไปฝึกงานและการไปสมัครงาน

การจัดการเรียนการสอนสำหรับผู้เรียนทางด้านอาชีวศึกษาสิ่งที่สำคัญคือการฝึกงานที่จะได้ประสบการณ์ตรงจากอาชีพที่ทำ และพิสูจน์ว่าความรู้ที่เรียนมาในแต่ละสาขาวิชา สาขางานนั้นสอดคล้องกับอาชีพจริงหรือไม่อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กำหนดให้ใช้หลักสูตรใหม่ ทั้งระดับ ปวช.และปวสในระยะแรกให้นำรายวิชาไปฝึกงานอย่างน้อย 1ภาคเรียนในสถานประกอบการหรือแหล่งวิทยาการ ซึ่งต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยน(หนังสือ ศธ 0606/976ลงวันที่ 30มีนาคม 2549)ว่า หากสถานศึกษาใดไม่สามารถดำเนินการได้ ก็ให้นำรายวิชา การฝึกงานไปจัดแทนรายวิชา ไม่ว่าจะจัดการฝึกงาน รูปแบบใดทั้งโดยนำรายวิชาต่าง ๆ หรือวิชาการฝึกงานเป็นการสร้างทักษะที่จะได้ปฏิบัติงานจริงในวิชาชีพนั้น ๆ ข้อพึงปฏิบัติที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ทั้งตัวนักเรียน/นักศึกษาผู้ปกครอง,สถานศึกษา,สถานประกอบการและครูฝึก/ผู้ควบคุมการฝึกงานจะต้องช่วยกันนำมาพิจารณาร่วมกัน ได้แก่
1.การปฐมนิเทศ ควรแจ้งให้ผู้ปกครองและนักเรียน/นักศึกษาทราบ ตั้งแต่ในวันปฐมนิเทศว่า นักเรียน/นักศึกษาจะมีการฝึกงาน หากสามารถระบุภาคเรียนหรือระดับชั้นได้ก็ควรรีบแจ้ง ลักษณะการฝึกงานเป็นอย่างไร ต้องมีการทำงานจริง เพื่อผู้ปกครองจะเข้าใจเมื่อถึงช่วงเวลานั้น นักเรียน/นักศึกษาออกจากบ้านมาแล้วไปไหน อย่างน้อยถ้าผู้ปกครองได้ทราบข้อมูลเบื้องต้น จะเป็นการช่วยหาสถานประกอบการที่เหมาะสมให้กับนักเรียน/นักศึกษาหรือเป็นเครือข่ายในการเสาะหาสถานประกอบการ เพราะผู้ปกครองจะต้องหาสถานประกอบการที่เหมาะสมที่สุดให้กับบุตรหลานของตนเอง
2.ครูประจำแผนกวิชาหรือแต่ละรายวิชา จะต้องช่วยกันเป็นกระบอกเสียงช่วยแจ้งเตือนให้นักเรียน/นักศึกษาทราบอีกครั้งว่า จะมีการฝึกงานช่วงใด ระดับชั้นใด เพื่อให้นักเรียน/นักศึกษาได้ตระหนักถึงการเตรียมตัวเพื่อหาสถานประกอบการที่เหมาะสมกับนักเรียน/นักศึกษาเอง ขณะเดียวกันคงจะต้องมีการเรียนการสอนที่สอดแทรกพฤติกรรมหรือการปฏิบัติตนในสำนักงาน/หน่วยงาน การปฏิบัติงานและปฏิบัติตนร่วมกับผู้อื่น มารยาทที่พึงปฏิบัติ
3.ข้อมูลสถานประกอบการ สถานศึกษาต้องมีข้อมูลเบื้องต้นแจ้งให้กับนักเรียน/นักศึกษาว่า มีหน่วยงาน/บริษัท/สถานประกอบการที่รับนักเรียน/นักศึกษาฝึกงานโดยเฉพาะในแผนกวิชาจะเป็นแหล่งข้อมูลเพราะว่า หน่วยงานที่รับนักเรียน/นักศึกษาเข้าฝึกงานส่วนใหญ่จะเคยรับฝึกงานอยู่แล้ว และจะแจ้งความประสงค์ให้กับครูนิเทศทราบว่าในครั้งต่อไปต้องการ นักเรียน/นักศึกษากี่คน และลักษณะงานจะเป็นอย่างไรข้อมูลคงจะต้องบอกและชี้ให้ชัดเจนว่าลักษณะหน่วยงานนั้นมีงานที่ค่อนข้างตรงกับสาขาวิชา พร้อมสถานที่ตั้งและเบอร์โทรศัพท์ สถานฝึกงานควรไม่ไกลและสะดวกในการเดินทางของนักเรียน/นักศึกษา เพื่อลดปัญหาในการนิเทศ หรือหากสถานประกอบการที่อยู่ไกลแต่มีการติดต่อนักเรียน/นักศึกษา เป็นประจำและเคยช่วยเหลือทางสถานศึกษาโดยเฉพาะประเภทวิชาอุตหกรรม ประเภทวิชาเกษตรกรรม บางสาขาวิชาหรือบางสาขางาน ควรจะต้องสอบถามความสมัครใจและความพร้อมของนักเรียน/นักศึกษานอกจากนี้ข้อมูลสถานที่ฝึกงานจากรุ่นพี่ก็จะอีกทางหนึ่งที่จะให้ข้อมูลที่แท้จริงได้
4.การเตรียมตัวก่อนเข้าพบสถานประกอบการ กรณีนักเรียน/นักศึกษา หาสถานประกอบการเองเมื่อได้ชื่อสถานประกอบการเป้าหมายแล้ว ต้องดูว่าจะไปกันกี่คนถ้าจำนวนมากเกินไปสถานประกอบการคงรับไม่ได้ จำนวนที่เหมาะสมประมาณ 2–3 คน ซึ่งคงเตรียมการถูกสัมภาษณ์เบื้องต้นที่นักเรียน/นักศึกษาจะให้ข้อมูลแก่สถานประกอบการว่าจะฝึกงานช่วงใด นักเรียน/นักศึกษาแผนกวิชา ระดับชั้น ระยะเวลาในการฝึกงาน กรณีที่นำรายวิชาไปฝึกจะต้องบอกรายวิชาให้ทราบด้วย มาจากสถานศึกษาพร้อมเบอร์โทรศัพท์
การแต่งกาย สวมชุดเครื่องแบบนักเรียน/นักศึกษาประจำสถานศึกษานั้น ๆ ให้เรียบร้อยควรจะบอกกล่าวนักเรียน/นักศึกษา ทราบว่าการไปสถานประกอบการถือว่าเป็นการทดลองสัมภาษณ์งานเบื้องต้น การจะนำเสนออย่างไรให้หน่วยงานนั้น ๆ ประทับใจในครั้งแรกที่พบปะ บางครั้งการไปหาสถานประกอบการนักเรียน/นักศึกษา แต่งกายโดยมีเครื่องประดับก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรกระทำ หรือนักเรียน/นักศึกษาชายมักจะไว้ผลยาวมากตามสมัยนิยมและเทรนด์ของ Fashion ยุคนั้น ๆ การสัมภาษณ์เบื้องต้นที่นักเรียน/นักศึกษาจะต้องไปนำเสนอให้สถานประกอบการทราบข้อมูลอะไรบ้างจำนวนนักเรียน/นักศึกษา การหาสถานประกอบการนักเรียน/นักศึกษามักจะไปจำนวนมากเกินกว่าที่สถานประกอบการจะรับได้ยกเว้นบางสาขาวิชาที่ต้องการนักเรียน/นักศึกษาที่จะไปฝึกงาน ไม่ใช่เป็นการแจ้งชื่อให้ทราบโดยที่ไม่เคยพบปะกับสถานประกอบการมาก่อนและสถานประกอบการควรจะต้องปฏิเสธถ้าไม่สามารถรับนักเรียน/นักศึกษาได้
5.เอกสารต่างๆ ในการเตรียมสำหรับการฝึกงาน นักเรียน/นักศึกษาต้องแจ้งข้อมูลให้งานที่รับผิดชอบทราบเพื่อสถานศึกษาจะได้ทำหนังสือแจ้งสถานประกอบการทราบและยืนยันอีกครั้งหนึ่ง ข้อมูลเอกสารที่ควรแจ้งให้สถานประกอบการทราบได้แก่
1. ชื่อนักเรียน/นักศึกษา
2. ระดับชั้น ปวช.หรือ ปวส.
3. ประเภทวิชา สาขาวิชา สาขางาน
4. ระยะเวลาการฝึก
5. งานที่นำไปฝึก จำนวนวิชาหรือจุดประสงค์ มาตรฐานวิชาและคำอธิบายรายวิชา หรือแผนการฝึก
6. ชื่อครูที่รับผิดชอบการนิเทศหรือผู้ที่สถานประกอบการสามารถจะติดต่อได้ พร้อมเบอร์โทรศัพท์
7. ตารางการนิเทศ
8. การไปรายงานตัววันแรกของการฝึกงาน นักเรียน/นักศึกษาจะต้องไปก่อนเวลาและเตรียมเอกสารทั้งหมดที่ได้รับจากสถานศึกษามอบให้กับสถานประกอบการ ซึ่งสถานประกอบการจะจัดเตรียมผู้รับผิดชอบดูแลนักเรียน/นักศึกษาและปฐมนิเทศให้นักเรียน/นักศึกษา
7.การนิเทศงานวันแรก สถานประกอบการต้องจัดเตรียมผู้รับผิดชอบและควรบอกรายละเอียดต่างๆ ดังต่อไปนี้ให้กับนักเรียน/นักศึกษา
7.1 เวลาทำงาน การเริ่มปฏิบัติงานเพราะแต่ละงานคงมีเวลาเริ่มปฏิบัติงานที่แตกต่างกันเช่น 8.30,9.00ฯลฯ ช่วงพักและเวลาเลิกงาน รวมถึงการลงลายมือชื่อทำงานหรือบางแห่งอาจจะมีเครื่องตอกบัตรเวลาทำงาน ควรแนะนำให้นักเรียน/นักศึกษาทราบ สถานศึกษาบางแห่งอาจจะมีใบลงเวลาทำงานโดยให้ผู้ดูแลเป็นผู้ลงลายมือชื่อกำกับ ซึ่งตรงนี้นักเรียน/นักศึกษามักจะลืมนำไปให้ผู้ควบคุมการฝึก
7.2 แนะนำบุคลากร สถานประกอบการจะต้องยอมสละเวลาในวันแรก ช่วยแนะนำนักเรียน/นักศึกษาให้รู้จักกับบุคลากรที่นักเรียน/นักศึกษาจะต้องเกี่ยวข้องด้วย หรือกรณีที่มีแผนภูมิ บอร์ดการบริหารงานในสำนักงานควรจะให้รู้ว่าใครทำหน้าที่อะไรและแนะนำวิธีการปฏิบัติตนเมื่อพบปะกับบุคคลแต่ละแผนก เพื่อสร้างความรู้สึกที่ดีและมั่นใจให้กับนักเรียน/นักศึกษาที่จะฝึกงาน
7.3 แนะนำสถานที่ พื้นที่งานหรือห้องทำงานที่นักเรียน/นักศึกษาจะเกี่ยวข้องหรือประสานงาน รวมถึงอาคารสถานที่ทั้งหมดหรือบางส่วน สถานที่ทำงานบางแห่งอาจจะก่อให้เกิดอันตรายแก่นักเรียน/นักศึกษา โรงอาหาร ห้องน้ำชาย/หญิง สถานที่บางแห่งที่หวงห้ามสำหรับบุคคลภายนอกหรือบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง
7.4 แนะนำงานให้นักเรียน/นักศึกษา งานที่นักเรียน/นักศึกษาจะฝึกได้ครูฝึกควรจะต้องมีการสัมภาษณ์เบื้องต้นว่านักเรียน/นักศึกษามีความรู้พื้นฐานในสาขางานนั้นมากน้อยอย่างไร คงจะไม่ลืมว่านักเรียน/นักศึกษาส่วนใหญ่จะมีความรู้บางส่วน แต่ยังไม่มีทักษะในการปฏิบัติงาน หรือกรณีนักเรียน/นักศึกษาบางส่วนที่นำเอารายวิชามาฝึก จะยังไม่มีความรู้และทักษะในงานนั้น แต่จะมาเรียนรู้ในสถานประกอบการโดยถือว่า สถานประกอบการที่ฝึกเป็นสถานศึกษาแห่งหนึ่งด้วย ในระยะแรกครูฝึกจะต้องให้การดูแลสักพักหนึ่ง เมื่อฝึกแล้วจะต้องติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานว่าจะมอบหมายงานใหม่ให้ต่อไปได้หรือไม่
7.5 การประพฤติและปฏิบัติตนขณะทำงาน สิ่งที่เราได้รับฟังตอบกลับมายังสถานศึกษาและเป็นปัญหาใหญ่ที่สถานศึกษาจะต้องหาทางแก้ไข คือ ความมีวินัย การตรงต่อเวลา กริยามารยาท รวมไปถึงการประพฤติปฏิบัติตนของนักเรียน/นักศึกษา ความไม่พร้อมของนักเรียน/นักศึกษาทั้งระดับปวช.และปวส.ระยะห่างของช่วงวัยระหว่างครูฝึกและนักเรียน/นักศึกษาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สถานประกอบการต้องพิจารณาโดยเฉพาะการเคารพนับถือกัน บางครั้งการนิเทศติดตามให้บ่อยขึ้นอาจจะทำให้ทราบปัญหาที่แท้จริงได้ดังนั้นในวันแรกของการนิเทศในเรื่องนี้ คงจะเป็นหน้าที่ของสถานประกอบการ
8.การบันทึกการฝึกงาน สิ่งที่เป็นความรู้ใหม่หรือทักษะที่เพิ่มขึ้น ต้องบันทึกให้ละเอียด การแนะนำในการบันทึกการฝึกงาน ควรมีการปรับเปลี่ยนสำหรับบางสถานศึกษาที่ให้บันทึกเฉพาะชิ้นงานซ้ำ ๆ รวมถึงการนิเทศของครู ต้องถือว่าเรื่องนี้จะต้องแนะนำให้ถูกต้องเพราะกรณีการนำรายวิชาไปฝึกงาน ครูนิเทศจะเห็นเนื้อในของงานว่าจะสอดคล้องกับงานวิชานั้น ๆ มากน้อยเพียงไร เพื่อจะได้นำข้อมูลนี้มาจัดระบบหรือจัดแผนการเรียนในครั้งต่อไป
ข้อปฏิบัติของนักศึกษาในระหว่างฝึกงาน
1.เวลาในการทำงานควรมาก่อนและกลับทีหลัง มีสัมมาคารวะ การพูดจาควรมีหางเสียง
2.ในการทำงาน เราควรปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ให้ได้ ทำงานให้ทันตามกำหนด
3.การขาดงานหรือการลาไม่ควรเกิน 3-5 วัน และต้องมีใบลาให้กับพี่เลี้ยงหรือโทรศัพท์แจ้งหน่วยงานหรือพี่เลี้ยง
4.กรณีที่ขาดหรือลามากกว่านั้น เนื่องจากมีเหตุจำเป็น เช่น เป็นนักกีฬา จะต้องมีใบแจ้ง แล้วหาเวลาไปฝึกเพิ่มเติม
5.ระยะเวลาการฝึกงาน บางหน่วยงานอาจมีวันทำงานไม่เหมือนกันเช่น บางหน่วยงานให้ฝึกงานวันจันทร์ถึงวันศุกร์ และบางหน่วยงานให้ฝึกวันจันทร์ถึงวันเสาร์ การฝึกงานจะเริ่มต้นและสิ้นสุดตามกำหนดวันฝึกงานเท่านั้น เช่นโปรแกรมวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์เริ่มฝึกงานตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม จนถึงวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ก็ต้องมาฝึกจนครบตามกำหนดระยะเวลา
กรณีที่เกิดปัญหาระหว่างฝึกงาน นักศึกษาสามารถปรึกษาอาจารย์ประจำวิชาได้เมื่อฝึกงานแล้วไม่อนุญาตให้ย้ายหน่วยงาน ยกเว้นกรณีถูกลวนลามหรือกรณีที่จำเป็นจริงๆ
การนิเทศนักศึกษา
การนิเทศนักศึกษาแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ
1.การไปนิเทศนักศึกษาที่หน่วยงาน มีการสอบถามพี่เลี้ยง/นักศึกษา
2.การนิเทศนักศึกษาทางโทรศัพท์(กรณีอยู่ต่างจังหวัด) มีการสอบถามพี่เลี้ยง/นักศึกษา
•กรณีอาจารย์ไม่ไปนิเทศ ให้หัวหน้าห้องรวบรวมรายชื่อนักศึกษาของแต่ละโปรแกรมส่งที่ศูนย์ฝึกฯกำหนดเวลาการนิเทศอาจารย์ปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม แต่ต้องภายในระยะเวลาของการฝึกงาน
3.เมื่อเสร็จสิ้นการฝึกงาน หัวหน้าห้องรวบรวมสมุดคู่มือ ส่งที่อาจารย์ประจำวิชา
ข้อปฏิบัติของอาจารย์นิเทศก์ที่นักศึกษาควรรู้
1.อาจารย์นิเทศก์จะสอบถามข้อมูลของนักศึกษากับพี่เลี้ยงหรืออาจขอดูรายละเอียดที่สมุดคู่มือฝึกประสบการณ์
2.สิ่งที่อาจารย์นิเทศจะถามคือนักศึกษาฝึกงานเป็นอย่างไรบ้าง ทำอะไรให้กับหน่วยงานบ้าง ในการทำงานมีปัญหาอะไรบ้างไหมฯลฯ
ขั้นตอนการเตรียมก่อนจะไปฝึกงานจะต้องประพฤติปฏิบัติในวันแรกของการฝึกงาน ดังต่อไปนี้
อย่าไปสาย การเริ่มฝึกงานวันแรก บางหน่วยงานจะจัดผู้รับผิดชอบสำหรับนักเรียน/นักศึกษาที่ฝึกงานไว้เรียบร้อยแล้วซึ่งในวันนี้จะต้องมีการแนะนำงาน สถานที่ แนะนำบุคลากร การปฏิบัติตนในขณะทำงาน หรือรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ และกรณีที่นักเรียน/นักศึกษา ไปฝึกงานด้วยกัน ซึ่งแต่ละสถานศึกษามักจะส่งรายชื่อให้สถานประกอบการ อย่างน้อย 2คนก็จำเป็นที่จะต้องเข้ารับการปฐมนิเทศจากผู้รับผิดชอบในเวลาพร้อมเพรียงกันจะทำให้ไม่เสียเวลากับหน่วยงานนั้น ๆ เป็นการสร้างความประทับใจครั้งแรกให้กับสถานประกอบนั้นๆ ไม่ไปตรงเวลา คงจะต้องบอกว่าให้ไปก่อนเวลาปฏิบัติงาน ยิ่งถ้าเป็นงานเอกชน อย่าลืมว่าทุกเวลานาทีของเขาเป็นเงินทองที่ต้องได้ต้องเสีย
พบแผนกบุคคล กรณีที่นักเรียน/นักศึกษาไม่ได้ไปยื่นสมัครขอฝึกงานด้วยตัวเอง แต่สถานศึกษาเป็นผู้ติดต่อให้จำเป็นอย่างยิ่งที่ นักเรียน/นักศึกษาจะต้องถามรายละเอียดเบื้องต้นกับครูผู้ดูแลการฝึกงานว่า จะให้ติดต่อกับใคร เพื่อเตรียมพร้อมก่อนจะไปฝึกงาน หรือกรณีที่ไม่รู้ข้อมูล ก็สามารถติดต่อกับแผนกบุคคลหรือแผนกทรัพยากรมนุษย์ส่วนการฝึกงานต่างจังหวัด ถ้าเป็นหน่วยงานราชการส่วนใหญ่มักจะให้งานประชาสัมพันธ์หรืองานธุรการเป็นผู้รับผิดชอบด่านแรกของหน่วยงานนั้นๆ และถ้าเป็นสถานประกอบการขนาดเล็ก ก็สามารถไปพบเจ้าของสถานประกอบการแห่งนั้นๆ ได้เลย
การสอบถามล่วงหน้าเพื่อจะทำให้สถานประกอบการได้เตรียมตัวหรือรับทราบว่าจะมีเด็กหน้าใสๆ มาร่วมงาน โดยการโทรศัพท์บอกกล่าวว่าเป็นนักเรียน/นักศึกษาที่จะมาฝึกงาน รวมถึงอาจจะสอบถามเพิ่มเติมได้ว่าจะติดต่อกับใครเมื่อไปถึงสถานประกอบการนั้น ๆ หรือกรณีที่ไปติดต่อเอง บุคคลที่สัมภาษณ์หรือให้ข้อมูลและตัดสินใจในวันที่ไปสมัครก็น่าจะเป็นผู้ที่รับผิดชอบ
อย่าอายที่จะถาม เมื่อไปแล้วไม่พบผู้ที่ได้รับข้อมูลมา ก็คงจะต้องสอบถามให้ได้ อย่าท้อแล้วรีบเปลี่ยนสถานประกอบการไปก่อน เพราะสถานประกอบการ เวลาทำงานอาจจะแตกต่างจากหน่วยงานทั่วไปหรืออาจจะมีงานด่วน งานรีบ งานเร่ง ที่ลืมที่จะให้ใครรับผิดชอบเรื่องนี้
การแต่งกายรวมถึงเสื้อผ้า หน้าผม เครื่องแบบของสถานศึกษาทั้งหญิง/ชาย ควรเป็นไปตามที่สถานศึกษากำหนด นอกเสียจากสถานประกอบการนั้น ๆ มีเครื่องแบบสำหรับนักเรียน/นักศึกษาฝึกงาน มีหลายหน่วยงานจะมีป้ายบอกว่า เป็นนักเรียนฝึกงาน หรือ trainee ติดไว้ คงจะต้องติดไว้ตลอดเสร็จสิ้นระยะเวลาการฝึกงาน อีกสิ่งหนึ่งที่สังเกตได้คือ รองเท้าที่นักศึกษาหญิง เมื่อไปฝึกงานระยะแรกจะสวมรองเท้าได้ถูกระเบียบ จากนั้นก็จะลากรองเท้าแตะ แม้ที่ทำงานอนุญาตก็คิดว่า ไม่น่าจะเหมาะสมกับสถานภาพของการฝึกงาน ในทำนองเดียวกับนักศึกษาชายมีความจำเป็นทึ่จะต้องแต่งกายในอยู่ในระเบียบและรัดกุม เครื่องแบบเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงสถานศึกษานั้น ๆ
เอกสารประกอบการฝึก เอกสารต่าง ๆ ได้แก่ หนังสือรายงานตัวการฝึกงาน บันทึกการฝึกงาน (รายละเอียดและประวัติส่วนตัวต่าง ๆ บันทึกให้ครบถ้วน)ยกเว้นผู้ควบคุมดูแลการฝึกที่จะได้รายละเอียดในวันแรกที่ฝึกงาน แบบการประเมิน (ทางด้านพฤติกรรม) อย่าลืมที่จะสอบถามว่าใครจะเป็นผู้ลายมือชื่อกำกับดูแลควบคุมการทำงานแต่ละวัน
พยายามจำชื่อ ในการทำงานวันแรก จะต้องจดจำชื่อ เพื่อนร่วมงานให้ได้ รวมถึงหน้าที่การงาน
อย่าลืมว่า เพื่อนร่วมงาน เปรียบเสมือนครูฝึกของเราเอง ฉะนั้นการปฏิบัติตนกับผู้ร่วมงานต้องมีสัมมาคารวะ และต้องการยอมรับความจริงว่า เราเข้าสู่โลกของการทำงานจริง จะมีสถานการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น ไม่ว่า จะเป็นเรื่องการนินทา การทะเลาะวิวาท ความไม่พึงพอใจ การอิจฉาริษยา ซึ่งก็ไม่ควรนำเรื่องเหล่านั้นมาเล่าต่อหรือจับกลุ่มนินทาร่วมกันกับคนที่ทำงาน ระยะเวลาที่ พวกเรามาฝึกงานนานที่สุดไม่น่าจะเกิน 1 ภาคเรียน เพราะฉะนั้น ท่องจำคำว่า อดทนให้ได้ แยกแยะให้ได้ว่า สิ่งใดควรจะทำหรือไม่ทำและคิดถึงผลที่จะตามมา และอย่าลืมว่า พวกเรายังมีครูนิเทศ ครูที่ปรึกษาที่จะให้คำแนะนำได้ตลอดเวลา
ยิ้ม หน้าตาคงจะเปลี่ยนแปลงไปได้ยาก แต่การยิ้มเป็นเสน่ห์ที่ทุกคนมีอยู่ในตัว ให้ยิ้มมาจากใจไม่ใช่ฝืน
เตรียมพร้อมที่จะต้องฟังการนิเทศอีกครั้งหนึ่ง สมุด ปากกา เตรียมให้พร้อมที่จะจดหรือบันทึก และต้องนั่งฟังอย่างตั้งใจ เวลาตรงนี้คงไม่มากเท่ากับการปฐมนิเทศจากสถานศึกษา เพราะสถานประกอบการคงต้องใช้เวลาเพื่อการทำงานให้มากที่สุด สถานประกอบการคงจะให้รายละเอียด ข้อพึงปฏิบัติต่าง ๆ
วันแรกของการฝึกงาน จะเป็นวันแห่งความตื่นเต้นของนักเรียน/นักศึกษาฝึกงานทุกคน บ้างประทับใจ กับวันแรกที่ไป บ้างถอดใจกับวันนี้ ก็คงจะต้องบอกว่า สร้างความมั่นใจในตัวเองมากที่สุด การปรับตัว ความอดทน เป็นเรื่องสำคัญที่มองข้ามไม่ได้
การสมัครงาน
การสมัครงานเหมือนกับการไปเสนอขายสินค้า ซึ่งจำเป็นจะต้องเตรียมตัวให้ดี และการเตรียมตัวก่อนสมัครงานเป็นสิ่งจำเป็น จะต้องเริ่มตั้งแต่ก่อนจบ การศึกษา ซึ่งในแต่ละปี แต่ละสถาบันจะมีผู้จบการศึกษาทั่วประเทศ รวมกันแล้วประมาณแสน ๆ คน และรวมกับผู้ที่ตกค้างจากปีก่อน ๆ ที่ยังไม่ได้งานทำมี อีกมาก และความเชื่อที่ว่าเรียนเก่งหรือเรียนดีแล้วจะหางานง่ายนั้นอาจจะไม่เป็น จริงเสมอไป ซึ่งในยุคปัจจุบันการรับคนเข้าทำงานในทุกวันนี้จะพิจารณา สิ่งอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น บุคลิกภาพ ความคล่องตัว ความอดทน ความเป็นคนมีปฏิภาณ ไหวพริบ เป็นต้น การเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ในการหางาน ทำหรือสมัครงาน จึงเป็นการเตรียมความพร้อมที่ดี และควรทำ เข้าทำนองที่ว่า “ฟอร์มดี มีชัยไปกว่าครึ่ง” ซึ่งการไปหางานหรือการไปสมัครงานเปรียบ เสมือนกับคุณเป็นเซลล์แมน หรือเซลล์วูแมน ที่จำเป็นจะต้องเตรียมความพร้อมในการสมัครงาน โดย คุณจำเป็นจะต้องมีเทคนิค วิธีการต่างๆ ที่ทำให้ผู้ซื้อ สินค้า (นายจ้าง) พร้อมที่อยากจะได้สินค้า (ตัวคุณ) เอาไว้ ถ้าคุณทำได้ โอกาสที่คุณจะประสบความสำเร็จในการหางานทำมีมาก
ดังนั้นถ้าท่านเป็นผู้หนึ่งที่ไม่ต้องการตกอยู่ในสถานการณ์ว่า “ตกงาน” ก่อนหางานทำ ควรเตรียมความพร้อมดังนี้
1. ค้นพบตัวเองให้ชัดเจน
2. ติดตามข่าวสาร
3. การมองหาแหล่งงาน
ซึ่งเมื่อคุณทราบในประเด็นหัวข้อใหญ่ๆ แล้วเรามาดูในแต่ละหัวข้อมีวิธีการเทคนิคอย่างไรบ้าง
1. ค้นพบตัวเองให้ชัดเจน
ทำไม จึงต้องมีการรู้จักตนเอง ก็เพราะการหางานคือการ “ขาย” ตนเองชนิดหนึ่ง เป็นการเสนอขายความรู้ ความ สามารถของตัวเราเองให้แก่บริษัท หรือองค์กรใด องค์กรหนึ่งนั่นเอง ใครขายเก่งหรือมีศิลปะในการขาย สามารถทำให้ผู้ ซื้อเกิดความรู้สึกอยากได้ “สินค้า” ชนิดนี้ก็จะได้งานไปทำ การสมัครงานก็เช่นกัน ถ้าไม่รู้แม้กระทั่งว่าในตัวคุณมีจุดเด่น ความรู้ ความสามารถ หรือพูดง่าย ๆ ว่าคุณเก่งทางด้านไหน และคุณจะไป โน้มน้าว ให้คนอื่นเขามาชื่นชม และต้องการคุณได้อย่างไร
ขั้นตอนแห่งค้นพบตัวเอง
1. การค้นหาทักษะ (Skills)เป็นความสามารถที่ต้องมีและเป็นรากฐานในการทำงานทุกชนิด ไม่มีงานชนิดไหนที่ไม่ต้องใช้ทักษะ โดยทักษะ จะแบ่งได้เป็น 3 แบบ คือ
(1) ทักษะที่เกิดจากการเรียนรู้ เช่น ทักษะในการขับรถ พูดภาษาต่างประเทศ
(2) ทักษะที่ติดตัวที่ติดตัวเรามาและสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ เช่น การวาดรูป ร้องเพลง
(3) ทักษะที่ได้จากสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นบ้าน ที่ทำงาน โรงเรียน เช่น ทักษะการเข้ากลุ่มเพื่อน ทักษะการเป็นผู้นำ
2. การสำรวจจุดเด่นของตนเองจุด เด่นของคุณมีผลต่อการหางานมากพอๆ กับทักษะ จุดเด่นนี้เป็นลักษณะทางบุคลิกภาพที่ทุกคนมี งานทุกชนิดต้องการคนที่มีบุคลิกบางอย่างที่เด่น เป็นเฉพาะ เช่น งานประชาสัมพันธ์ คุณควรมีบุคลิกภาพที่เขากับคนง่าย รู้จักจัดการเกี่ยวกับคน หรือพนักงานบัญชี คุณก็ควรมีบุคลิกภาพที่ละเอียดรอบคอบ เป็นต้น
3. สำรวจความสัมฤทธิ์ผลทั่วไปความ สัมฤทธิ์ผลนี้คือ เป็นความรู้สึกประทับใจความสำเร็จไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด ๆ ก็ตาม โดยให้นึกถึงสิ่งที่คุณทำแล้วสำเร็จ และประทับใจเหล่านั้นมาสัก 4-5เรื่อง และเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นผลสัมฤทธิ์ของคุณ และนำมาเขียนเป็นผลสรุปของคุณเก็บไว้เป็นข้อมูลไว้เป็นองค์ประกอบในการสมัคร งาน ด้านหนึ่ง
4. สำรวจความชอบ /ไม่ชอบเป็น ขั้นตอนของการลองกลับไปคิดทบทวนใหม่อีกครั้งถึงประสบการณ์สมัยอยู่โรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย หรือช่วงชีวิตที่ผ่านมามีอะไรที่เกิดขึ้นใน ช่วงเหล่า นั้น ที่คุณชอบและไม่ชอบใจบ้างไหม เช่น คุณอาจจะจำครูที่ดุอย่างขาดเหตุผล คุณแม่ที่เคร่งครัดและเจ้าระเบียบ เพื่อนที่เจ้าอารมณ์ ขอให้จำบุคลิก ลักษณะ ของบุคคลที่คุณไม่ชอบนี้ไว้ด้วย คุณจะได้รู้ว่าบุคคลประเภทใดที่คุณอยู่ด้วยแล้วไม่มีความสุข
5. สำรวจขีดจำกัดคน เราทุกคนไม่มีความสมบูรณ์ดีพร้อมไปเสียทุกอย่าง ทุกคนต้องมีข้อบกพร่อง ซึ่งมันอาจเป็นจุดอ่อนที่ยังแฝงอยู่ในบุคลิกภาพของคุณในปัจจุบัน จุดอ่อนที่จะ เป็นตัวขัดขวางทำให้คุณไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร โดยคุณจะต้องพยายามทำความรู้จักกับทุกส่วนของบุคลิกคุณอย่างแท้จริง และนำมา เป็น จุดแก้ไข ปรับปรุง หรือเป็นข้อควรระวัง เพื่อคุณจะไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จได้
6. สำรวจค่านิยมค่า นิยม คือสิ่งที่เรายึดถือว่า ดี งาม สมควรปฏิบัติ เช่น ค่านิยมเรื่องความซื่อสัตย์ ความมั่นคง ความปลอดภัย ความเสียสละ ซึ่งถ้าคุณคิดเพียงว่าแต่ขอ ให้ได้งาน โดยไม่ตระหนักถึงค่านิยมของตัวเองและธรรมชาติของงาน การทำงานนั้นก็จะไม่ได้รับความสุขกับการทำงาน และทำให้ต้องเข้า ๆ ออก ๆ หางาน ใหม่อยู่ ตลอดเวลา ดังนั้น การรู้จักค่านิยมของตัวเองจึงเป็นหัวใจสำคัญอีกด้านหนึ่งในการทำงานเพื่อ ความสุขของชีวิต
7. สำรวจความสัมพันธ์ที่มีต่อบุคคลอื่นการ ทำงานทุกชนิดต้องสัมพันธ์กับคน จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละตำแหน่งงาน ดังนั้น สิ่งที่คุณต้องเข้าใจคือ เราต้องอยู่กับคนไปตลอดชีวิต การ เข้าใจความสัมพันธ์ที่มีต่อกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการอยู่ร่วมกัน และทำงานด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ
8. สำรวจสิ่งแวดล้อมในการทำงานสิ่ง แวดล้อมในการทำงานที่นี้ก็คือ สถานที่ตั้งของหน่วยงาน เช่น ใกล้ - ไกล การคมนาคม ต่างจังหวัด หรือกรุงเทพฯ สภาพมลภาวะต่างๆ ลักษณะงาน ซึ่งคุณจะต้องมีความยืดหยุ่นพอที่จะปรับความต้องการให้เข้ากับสิ่งที่คุณได้ ตามสมควร
9. ความต้องการเกี่ยวกับเงินเดือนไม่ ว่าตัวผู้สมัครงานจะมีประสบการณ์หรือไม่มีประสบการณ์ก็ตาม การเรียกร้องเงินเดือนเท่าใดนั้น คุณควรจะต้องไปทำการค้นคว้าว่าโดยทั่ว ๆ ไป บุคคลที่จบการศึกษาระดับเดียวกันกับคุณหรือผู้ที่ทางบริษัทที่รับเข้ามาใน ตำแหน่งที่คล้ายกับที่คุณสมัครนั้นเขาได้รับเงินเดือนประมาณเท่าใด ซึ่งส่วนใหญ่ ถ้าเป็นงานราชการเงินเดือนจะต้องเป็นไปตามวุฒิที่ทางการกำหนด ไม่มีการต่อรอง แต่ถ้าเป็นบริษัทเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจอาจมีอัตราการจ่ายเงินที่ต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับขนาด ความมั่นคงของบริษัท และระบบการบริหารของบริษัท
2. การติดตามข่าวสาร
สิ่ง ที่คนหางานจะต้องตระหนักก่อนสิ่งอื่นใดก็คือ คุณจะต้องมีความกระตือรือร้นขวนขวายหา ข่าวสารด้วยความสนใจอย่างจริงจัง เพราะช่วงเวลา ของการโฆษณารับสมัครงานของแต่ละองค์กรล้วนมีระยะเวลาจำกัด บางองค์กรก็จะระบุวันหมด เขตรับสมัครเอาไว้ ทำให้เมื่อวันเวลาผ่านไปโอกาสในการ สมัครงานแล้วได้รับการคัดเลือกไปสัมภาษณ์ย่อมน้อยลงด้วย เนื่องจากในแต่ละปีมีบัณฑิตจบใหม่จากสถานศึกษา ที่ผลิตออกมาอย่างไม่ขาดสาย ด้วยเหตุนี้ คุณจึงต้องขวนขวายที่จะหาข้อมูลข่าวสารการรับสมัครงานให้มากที่สุด
เมื่อคุณได้ข่าวสารการรับสมัครงานและคุณสมบัติครบถ้วนที่ จะสมัครได้ รวมทั้งคุณพอใจที่จะ ทำงานในตำแหน่งนั้น ๆ คุณก็ควรจะสมัครให้เร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องรีรอทั้ง ๆ ที่คุณ มีความพร้อมในเรื่องเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในการสมัครงานตามที่ระบุไว้ ตรงกันข้ามกลับ เป็นผล ดีกับตัวคุณเสียอีก เพราะองค์กรที่รับ สมัครงานจะเห็นความกระตือรือร้น ความมุ่งมั่น และความต้องการ ทำงานของคุณอย่างชัดเจน ส่งผลให้ผู้รับ สมัครพึงพอใจที่คุณให้ความสนใจกับองค์กรนั้นมากกว่าผู้สมัคร รายอื่น ๆ ที่รอจนเกือบ หมดเขตรับสมัครแล้ว จึงค่อยไปสมัคร นอกจากนั้น การส่งใบสมัคร ไปตั้งแต่เนิ่น ๆ ทำให้คุณมีข้อได้เปรียบกว่าคนอื่นในกรณีที่คุณส่งใบสมัครไปทางไปรษณีย์แล้ว เกิดความล่าช้าก็อาจเป็นไปได้ว่า ใบสมัครงานหรือจดหมาย สมัครงาน ของคุณไปถึงที่หมายภายหลังหมดเขครับสมัครงาน โอกาสที่คุณจะได้งานก็จะลดลงตามไปด้วย
3. มองหาแหล่งงาน
โดย ทั่ว ๆ ไป หนทางที่จะเริ่มมองหาแหล่งงานได้นั้นมีหลายวิธี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดที่สื่อมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงนี้ไม่ใช่เรื่อง ยากเลย ที่คุณจะ หาข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับองค์กรที่เปิดรับสมัครงาน ซึ่งคุณอาจจะเลือกดูได้จากแหล่งต่าง ๆ เหล่านี้ คือ
1. สื่อสิ่งพิมพ์
สื่อ สิ่งพิมพ์ทั้งรายวันและรายสัปดาห์ เป็นสื่อที่คนต้องการหางานทำมักจะมองหาเป็นอันดับแรกโดยสื่อดังกล่าวอาจจะมา ในรูปของนิตยสาร รายสัปดาห์ที่ลงข่าวสารเกี่ยวกับการรับสมัครงานโดยเฉพาะ เช่น นิตยสารงานวันนี้ Smart Job หางานหาง่าย หรือมาในรูปของหนังสือพิมพ์ที่ลงโฆษณา รับสมัครงานโดยเฉพาะ เช่น หนังสือพิมพ์แหล่งงาน งานทั่วไทย นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบของ Section Classified ที่แทรกอยู่ในหนังสือพิมพ์รายวัน เช่น โลกวันนี้ The Nation Bangkok Post เป็นต้น โดยสื่อเหล่านี้จะมีข่าวสารเกี่ยวกับการ เปิดรับสมัครงานใหม่ ๆ อยู่เสมอ ซึ่งนอกจากโฆษณา รับสมัครงานแล้ว ยังมีบทความต่างๆ ที่ให้ความรู้เกี่ยวข้องกับการสมัครงานที่น่าสนใจอีกด้วย เรียกว่าถ้าคุณต้อง การหางานล่ะก็ สื่อสิ่งพิมพ์มีประโยชน์ต่อ คุณมากทีเดียว
2. สื่ออินเตอร์เน็ต
ในโลกยุค ปัจจุบัน สื่ออินเตอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในการหางาน โดยผู้สมัครงานสามารถเข้าไปค้นหาตำแหน่งงานที่ ต้องการได้ จากเว็บไซต์หางานต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมาย นอกจากจะได้ปริมาณตำแหน่งงานที่มากแล้ว เว็บไซต์เหล่านี้ยังให้ประโยชน์ในเรื่องอื่น ๆ อีก เช่น มีบทความเกี่ยว กับเทคนิคการ สมัครงาน มีคำแนะนำเกี่ยวกับการเขียนใบสมัคร และ Resume แถมยังส่งใบสมัครและ Resume ไปให้กับองค์กรทางอีเมล์ได้ทันทีอีก ด้วย นับว่าเป็นวิธีการที่สะดวกและได้ผลดีไม่แพ้วิธีกา รอื่นเลย แต่ก็มีข้อเสียอยู่บ้างว่าในประเทศไทยนั้น สื่ออินเตอร์เน็ตยังไม่ใช่สื่อหลักที่ใช้กันอย่างแพร ่หลาย การสมัครงานทางเว็บไซต์นั้นจึงมีข้อจำกัดที่ว่าข้อมูลของคุณอาจไปไม่ถึง ผู้รับสมัคร เพราะว่าบางบริษัทแม้ว่าจะลงรับสมัครทางอินเตอร์เน็ต แต่อาจ จะไม่ได้นำข้อมูลของผู้ที่สมัครงานทางอินเตอร์เน็ตมาพิจารณา หรือบางครั้งก็มีความผิดพลาดทางเทคนิค ทำให้ใบสมัคร ของคุณไม่สามารถส่งไปถึงผู้รับ ปลายทางได้ แต่อย่างไรก็ดี สื่ออินเตอร์เน็ตก็ถือเป็นสิ่งที่มีคุณประโยชน์อย่างมากในยุคปัจจุบัน เราจึงได้รวบรวมเว็บไซด์เหล่านั้นไว้ให้คุณเพื่อเป็นอีกช่องทาง ในการสมัครงานของคุณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น